วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คุณแม่วาสนาผู้แสนดี


คุณแม่วาสนาผู้แสนดี

ความเจ็บปวดและความทรมานที่แม่ทนทุกข์อยู่นานนับปีจากนี้สิ้นสุดลงแล้ว แม่ไม่เจ็บไม่ปวดอีกต่อไป แม่ได้ไปอยู่สวรรค์แล้ว
น้ำตาของความเสียใจที่แม่เสียชีวิตได้ไหลออกจากตาลูกได้สิ้นสุดแล้ว ต่อไปนี้เป็นเวลาแห่งน้ำตาของความปลื้มที่ได้เกิดเป็นลูกของคุณแม่วาสนา เป็นช่วงเวลา 33 ปี ที่ได้เกิดลืมตามาเจอหน้าแม่ และอีก 9 เดือนที่แม่อุ้มท้องผมมา เป็นเวลาที่มีเรื่องราวที่น่าจดจำนับไม่ถ้วน และสิ่งนี้จะอยู่ในใจของผมตลอดไป
แม่คอยสอนผมตลอดเวลาว่าในขณะที่ลูกเกิดนั้น แม่เหมือนจะขาดใจตายแม่เจ็บขนาดไหนคงไม่ต้องบรรยาย แม่ต้องผ่าผมออกต้องเจ็บต้องทรมาน เกิดมาจนโตต้องเช็ดอึ เช็ดฉี่ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบ ต้องทนนอนดึก ต้องตื่นแต่เช้ามาเพื่อให้นมลูก คำอธิบายต่างๆ เหล่านี้ปลูกฝั่งมาผมตั้งแต่เด็กๆ รวมถึงคำสอนให้เป็นคนดี ให้รู้จักคำว่ากตัญญู รู้จักคำว่าอดทน รู้จักคำว่าพอ และรู้จักการทำบุญ
ทุกคำสอนเหล่านี้แม่ได้ปฎิบัติให้ผมเห็น ไม่ใช่แค่คำสอนลมๆ ที่ออกมาจากปากเท่านั้น แม่สอนให้กตัญญู ผมเห็นแม่มีความกตัญญู ต่อคุณตา คุณยาย ต่อญาติพี่น้อง ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรแม่เป็นคนที่ช่วยเสมอ ใครเจ็บใครป่วย แม่จะถามสารทุกข์เสมอ และเมื่อมีโอกาส แม่จะไปเยี่ยม และไปช่วยเหลือตามความสามารถ
แม่สอนให้รู้จักให้มีความอดทน แม่พูดเสมอว่าตั้งแต่ยังเล็กแม่เป็นลูกชาวนา ตื่นนอนแต่เช้า ช่วยตาช่วยยายทำไร่ทำนา และเมื่อเข้าโรงเรียนก็ต้องเดินไปโรงเรียนไม่ต่ำกว่า 5 กิโล แม่ต้องอดทนประหยัดอดออม แม่ต้องอดทนที่ต้องเลี้ยงผมมา แม้ว่าผมจะดื้อ ผมจะเถียง ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือโรคร้ายที่แม่อดทนสู้กับมันจนนาทีสุดท้าย
แม่สอนให้รู้จักคำว่าพอ พอในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ให้ประหยัด อย่าฟุ้งเฟ้อ แม่สอนให้รู้จักการทำบุญ แม่เป็นคนใจบุญ เป็นคนปฎิบัติธรรม แม่ชอบทำบุญมาก เช้าๆ ตื่นใส่บาตรทุกเช้า มีงานบุญไปร่วมไม่ขาด วัดใกล้ วัดไกล แม่ไปหมด ช่วงที่ยังสบายดีแม่ชอบเข้าวัดเพื่อสวดมนต์เย็นทุกวันพระที่วัดโพธิ์โนนทัน และทำบุญกับหลวงปู่ทองม้วนที่วัดป่าแสงอรุณเสมอ
สิ่งที่ผมเอ่ยมาข้างต้นเป็นส่วนเล็กน้อยที่อยากจะบอกกว่ากับทุกท่าน ถ้าท่านได้อยู่ใกล้ๆ ท่าน ได้สนิทได้คุยได้รู้จักคุณแม่ ทุกท่านคงคิดเช่นเดียวกับผม
สำหรับความสุขของแม่ไม่มีอะไรนอกเหนือจากความสำเร็จของลูก ๆ ได้เห็น โกและกลอย ได้สำเร็จการศึกษาปริญญาโท ได้เห็นโกและกลอยมีครอบครัว ได้เห็นโกบวช ได้เห็นหน้าหลาน Sametha ของยาย
ปี 51 ผมได้ยินข่าวร้ายว่าแม่เป็นมะเร็งเต้านม และต้องผ่าตัดซึ่งขณะนั้นแม่เข็มแข็งมาก ก่อนจะผ่าตัดต้องเข้าแอดมิดก่อน จะมีหมอมาถามความพร้อมก่อนผ่าตัดและมีนักศึกษาแพทย์ที่ตามคุณหมอมาเยอะแยะ และแม่ก็ให้นักศึกษาตรวจบริเวณที่เป็นมะเร็งเต้านมเพื่อเป็นวิทยาทานได้สอนวิธีการตรวจให้นักศึกษด้วย และก่อนเข้าห้องผ่าตัดที่โรงพยาบาลศรีนคริทร์ผมได้เดินตามแม่ไปห้องผ่าตัด ซึ่งในขณะนั้นไม่มีอาการกลัวใดๆ เลย หลังจากผ่าตัดแล้วแม่ต้องมาพักฟื้นซึ่งมีเพื่อนที่ทำงานมาให้กำลังใจกันเยอะมากๆ ต่อมาแม่ได้ให้คีโมตามขั้นตอนของการรักษา และรักษาตัวจนมีสุขภาพแข็งแรง จนกระทั้งปี 52 เดือนเมษายน แม่ป่วยเป็นโรคงูสวัด มีอาการไข้สูง และมีแผลรอบบริเวณท้อง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่ทรมานที่สุดอีกครั้งแต่ก็ได้รักษาจนหาย ในช่วงนั้นแม่ได้เข้าไปตรวจทุกเดือนว่ามีอะไรผิดปกติไหม จนกระทั้งในปี 54 เดือน มิถุนายน ผมก็ได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อแม่มีอาการเจ็บลิ้นปี่ และได้เข้ารักษาตัวฉุกเฉินที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น หมอได้บอกว่าแม่เป็นโรคมะเร็งตับ จากนั้นได้ย้ายเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์อีกครั้งช่วงนั้นแม่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับ ยังเข้าใจว่าเป็นถุงน้ำดีอักเสบอยู่ ในขณะที่รักษาตัวอยู่นั้น คุณหมอโอตือ ผู้ที่รักษามะเร็งเต้านมแม่ ได้บอกกับผมว่า แม่เป็นมะเร็งและเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรง ซึ่งไม่ได้มีการตรวจพบมาก่อน จากนั้นหมอได้ให้ดูภาพ CT Scan ส่วนของตับ ซึ่งหมอได้อธิบายว่าตอนนี้กินไปเยอะแล้ว ให้ญาติทำใจ ผมได้ถามหมอว่าแม่จะมีอายุได้อีกประมาณกี่ปี แต่คำตอบที่ทำให้ผมน้ำตาซึมออกมาคือ “อายุของคุณแม่ให้นับเดือน” มันยากที่จะทำใจยอมรับและรู้สึกว่าทำไมต้องมาเกิดอะไรขึ้นกับแม่อีก หลังจากนั้นแม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง แม่ก็สู้กับมันเต็มที่ ไม่เคยท้อ ไม่สิ้นหวัง ทั้งนี้ได้กำลังใจจากครอบครัว และกำลังใจจากญาติ และเพื่อนฝูง แต่โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ มีแต่อาการทรงและทรุด ช่วงนั้นเข้าออกโรงพยาบาลแถบทุกเดือน และแถบทุกหวอดผู้ป่วยของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ช่วงแรก ๆ อยู่ห้องพิเศษ หลัง ๆ ได้อยู่ผู้ป่วยรวมได้รู้จักคนป่วยเตียงข้างๆ ได้รู้จักพยาบาล ได้รู้จักหมอ และนักศึกษาแพทย์ ผมได้แซวกับแม่บ่อย ๆ ว่าสงสัยแม่เป็นโรคคิดถึงหมอคิดถึงพยาบาลถึงได้เข้าบ่อยจัง
ผมได้มีโอกาสดูแลแม่เล็กๆ น้อยๆ จนกระทั้งระยะหลังๆ ที่มีอาการทรุดหนัก ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง ผมได้เก็บอึเก็บฉี่ เช็ดตัวให้แม่ ทำอาหารให้แม่ ป้อนข้าวแม่ ผมนึกถึงคำสอนของแม่ได้เลยว่าตอนเล็กๆ เราเคยอึให้แม่เก็บ คอยให้แม่ป้อนข้าว คอยให้แม่อาบน้ำให้ แม่ต้องทำให้เราขนาดไหน ต้องอดทนขนาดไหน วันนี้ผมได้ทำเช่นนั้นสิ่งเดียวกับที่แม่ทำให้ผมแล้ว แต่ยังน้อยมากกับสิ่งที่แม่ทำให้ผมนัก และผมคิดว่าไม่อาจจะเปรียบเทียบกันได้ ช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดคือก่อนแม่จะเสีย ความรู้สึกทรมานความเจ็บปวดทำให้แม่เบลอ และไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ จนอาการทรุดหนัก ก่อนหน้านั้นกลอยกลับมาพร้อมซาเมต้าจากเยรมัน ทันได้เห็นหน้าแม่ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2555 และหลังจากนั้นวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 เวลา 9.15 วินาทีสุดท้ายของชีวิตแม่ก็มาถึงผมได้เห็นแม่สิ้นลมแต่ผมแทบสิ้นใจ
สุดท้ายขอขอบคุณ ทีมแพทย์โรงพยาบาลศรีนคริทร์ ที่รักษาแม่ผมจนสุดความสามารถ ขอบคุณน้าสุรพงษ์ น้าเบียบ น้าแหม่ม ที่ดูแลแม่อย่างดีมาตลอด ขอบคุณเพื่อนๆ ของคุณแม่ที่แวะเวียนมาให้กำลังใจไม่ขาดสาย
สำหรับผมคำๆนี้ที่เราๆเคยร้องกันมาแต่เด็กๆ คงเป็นคำตอบได้ดีที่สุด “บวช เรียนพากเพียรจนสิ้น
หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้น พระคุณแม่เอย

ด้วยรักและคงอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป

เขียนโดย โก วันเฉลิม บุณยะกาญจน

สอนเขียนโปรแกรม ในขอนแก่น และภาคอีสาน

สอนเขียนโปรแกรม ในขอนแก่น และภาคอีสาน (Programming , KhonKaen ) ประสบการณ์.มากกว่า 18 ปี ป.ตรี วิทยาการคอมพิวเตอร์ ม.กรุงเทพ ป.โท วิทยาการคอ...